การฝึกอบรมพนักงานแบบ On-the-Job vs Off-the-Job ต่างกันยังไง? แบบไหนดีกว่ากัน?

Blog Image
  • Admin
  • 20 OCTOBER 2025

การฝึกอบรมพนักงานแบบ On-the-Job vs Off-the-Job ต่างกันยังไง? แบบไหนดีกว่ากัน?

ในยุคที่ “คน” คือทรัพยากรสำคัญที่สุดขององค์กร การพัฒนาพนักงานจึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการเพิ่มทักษะ แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวที่ช่วยสร้างศักยภาพ ความผูกพัน และความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัท การฝึกอบรมจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของฝ่ายทรัพยากรบุคคล หรือ HR ที่ต้องออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะกับลักษณะงานและเป้าหมายขององค์กร อย่างไรก็ตาม รูปแบบของการฝึกอบรมมีอยู่มากมาย แต่สองรูปแบบหลักที่องค์กรส่วนใหญ่เลือกใช้คือ การฝึกอบรมแบบ On-the-Job Training (OJT) และ การฝึกอบรมแบบ Off-the-Job Training ซึ่งทั้งสองแบบต่างมีข้อดีและข้อจำกัดในตัวเอง แล้วแบบไหนกันแน่ที่ “เหมาะสมกว่า”? เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น มาทำความรู้จักทั้งสองแนวทางกันแบบละเอียด พร้อมมุมมองของ HR มืออาชีพว่าการฝึกอบรมแต่ละรูปแบบเหมาะกับสถานการณ์แบบไหนบ้าง

ทำความเข้าใจกับ “On-the-Job Training”
“On-the-Job Training” คือการฝึกอบรมที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงานจริง พนักงานจะได้เรียนรู้จากการลงมือทำงานจริง โดยมีหัวหน้างานหรือพี่เลี้ยงเป็นผู้สอน เช่น พนักงานใหม่ที่เรียนรู้กระบวนการทำงานจากหัวหน้า หรือพนักงานฝ่ายผลิตที่ได้ฝึกใช้เครื่องจักรจริงภายใต้การดูแลของวิศวกรประจำสายการผลิต

สิ่งที่โดดเด่นของการฝึกอบรมแบบนี้ คือ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง ไม่ใช่เพียงการฟังหรืออ่านจากคู่มือ แต่เป็นการฝึกในบริบทจริง ทำให้ผู้เรียนเข้าใจขั้นตอนการทำงานได้อย่างลึกซึ้ง เห็นภาพชัดว่าทักษะที่เรียนรู้สามารถนำไปใช้ได้อย่างไร

นอกจากนี้ OJT ยังช่วยสร้างความมั่นใจและความสัมพันธ์ที่ดีในทีม เพราะพนักงานใหม่ได้มีโอกาสเรียนรู้จากรุ่นพี่โดยตรง เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างรุ่น ช่วยให้บรรยากาศในที่ทำงานมีความอบอุ่นและเป็นกันเองมากขึ้น
-----------------------------------------------
จุดแข็งของการฝึกแบบ On-the-Job
การฝึกอบรมในที่ทำงานจริงมีข้อดีที่ชัดเจนหลายประการ เริ่มจาก ความประหยัดเวลาและต้นทุน เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดสถานที่หรือเชิญวิทยากรภายนอก ทุกอย่างเกิดขึ้นในพื้นที่ขององค์กรเอง

อีกทั้งยัง ได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ทันที เนื่องจากพนักงานเรียนรู้จากงานจริง สิ่งที่เรียนสามารถนำไปใช้ได้ในทันที ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลดความผิดพลาดจากการทำงานจริง เพราะพนักงานได้รับการแนะนำอย่างใกล้ชิดจากผู้มีประสบการณ์

สำหรับ HR แล้ว การฝึกแบบนี้เหมาะกับตำแหน่งที่ต้องใช้ทักษะเชิงปฏิบัติ เช่น งานฝ่ายผลิต งานบริการ งานช่าง หรือพนักงานขาย ที่ต้องเข้าใจขั้นตอนการทำงานจริงและโต้ตอบกับสถานการณ์แบบเรียลไทม์
-----------------------------------------------
แต่ก็ใช่ว่า On-the-Job จะสมบูรณ์แบบ
ในขณะที่การฝึกในงานจริงให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ต้องระวัง เช่น ความเสี่ยงจาก “ความผิดพลาดในการทำงานจริง” โดยเฉพาะหากผู้ฝึกยังไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการทำงาน หรือเกิดอุบัติเหตุได้

อีกประเด็นคือเรื่องของ “คุณภาพการสอน” เพราะหัวหน้างานหรือพี่เลี้ยงแต่ละคนอาจมีวิธีการสอนที่แตกต่างกัน บางคนอาจไม่มีทักษะในการถ่ายทอดความรู้ที่ดี ทำให้ผลการฝึกไม่เท่ากันในแต่ละคน

ดังนั้น หากองค์กรเลือกใช้การฝึกแบบ On-the-Job จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมของผู้ฝึกสอนให้ดี อาจต้องมีการอบรม “Train the Trainer” เพื่อให้หัวหน้างานสามารถสอนงานได้อย่างมีระบบ และเข้าใจวิธีสื่อสารกับผู้เรียนที่แตกต่างกัน
-----------------------------------------------
แล้ว “Off-the-Job Training” คืออะไร?

ต่างจาก OJT ตรงที่ “Off-the-Job Training” คือการฝึกอบรมนอกสถานที่ทำงานจริง เช่น การเข้าคอร์สอบรมภายนอก การเข้าร่วมสัมมนา เวิร์กช็อป หรือการเรียนผ่านระบบออนไลน์ (E-Learning) จุดประสงค์คือให้พนักงานได้มีเวลาฝึกฝนและเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่กดดันจากงานประจำ

รูปแบบนี้เหมาะสำหรับการพัฒนาทักษะเชิงแนวคิด ความรู้เชิงกลยุทธ์ หรือทักษะด้าน Soft Skills เช่น ภาวะผู้นำ การสื่อสาร การบริหารเวลา และการทำงานเป็นทีม เพราะเป็นทักษะที่ต้องการการสะท้อนคิด (Reflection) และการฝึกในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง

ตัวอย่างเช่น บริษัทจัดส่งหัวหน้างานเข้าร่วมคอร์ส “ภาวะผู้นำสำหรับหัวหน้าทีมรุ่นใหม่” ที่จัดโดยสถาบันภายนอก เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้บริหารจากองค์กรอื่น ซึ่งช่วยเปิดมุมมองและต่อยอดความคิดได้มากกว่าการเรียนรู้ในงานจริง
-----------------------------------------------
จุดแข็งของการฝึกแบบ Off-the-Job

ข้อดีสำคัญของการอบรมนอกสถานที่ คือการเปิดโอกาสให้พนักงานได้ “หยุดจากงานประจำ” แล้วใช้เวลาเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องงานที่ต้องส่ง หรือปัญหาที่รอแก้ในแผนก เพราะมีเวลาโฟกัสกับการพัฒนาตัวเองอย่างแท้จริง

อีกทั้งยังช่วย “ต่อยอดทักษะในเชิงกลยุทธ์” เพราะผู้เรียนจะได้มุมมองใหม่จากผู้เชี่ยวชาญภายนอก และสามารถนำแนวคิดเหล่านั้นกลับมาปรับใช้ในงานได้จริงในภายหลัง

นอกจากนี้ การอบรมแบบ Off-the-Job ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความผูกพัน (Employee Engagement) และแรงจูงใจในการทำงาน
-----------------------------------------------
แต่ Off-the-Job ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน

แม้จะเป็นรูปแบบที่ช่วยเปิดโลกการเรียนรู้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดด้าน ต้นทุนและเวลา เพราะการอบรมภายนอกมักต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงกว่า ทั้งค่าฝึกอบรม วิทยากร สถานที่ และค่าเดินทาง

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่ “สิ่งที่เรียนไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง” หากผู้เข้าอบรมไม่ได้มีโอกาสนำความรู้ที่ได้มาลองใช้ในงานประจำ อาจทำให้การฝึกอบรมไม่เกิดผลลัพธ์เท่าที่ควร

ดังนั้น HR จำเป็นต้องวางแผนให้ดี เช่น การวัดผลหลังการอบรม การติดตามพฤติกรรมการนำความรู้ไปใช้จริง หรือการให้พนักงานแชร์สิ่งที่เรียนรู้กลับมาสู่ทีม เพื่อให้การลงทุนด้านการฝึกอบรมคุ้มค่าที่สุด
-----------------------------------------------
แล้วแบบไหน “ดีกว่ากัน”?

คำตอบคือ “ไม่มีแบบไหนที่ดีกว่าอย่างเด็ดขาด” แต่ขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมและลักษณะงาน มากกว่า

หากเป้าหมายคือการสอนทักษะที่ต้องใช้ในการทำงานจริง หรือเป็นงานที่ต้องการความชำนาญในสถานการณ์จริง เช่น งานซ่อมบำรุง งานผลิต งานบริการ การฝึกแบบ On-the-Job จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วกว่า

แต่หากเป้าหมายคือการพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์ ทักษะการบริหาร หรือ Soft Skills ที่ต้องอาศัยการคิด วิเคราะห์ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การฝึกแบบ Off-the-Job จะตอบโจทย์มากกว่า เพราะช่วยเปิดมุมมองและให้พนักงานได้ฝึกคิดในสภาพแวดล้อมใหม่

ในทางปฏิบัติ HR มืออาชีพจึงมัก “ผสมผสานทั้งสองรูปแบบเข้าด้วยกัน” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น เริ่มจากอบรม Off-the-Job เพื่อปูพื้นความรู้เบื้องต้น แล้วตามด้วยการฝึกแบบ On-the-Job เพื่อให้ผู้เรียนได้ลงมือทำจริงและปรับใช้ในบริบทขององค์กร
-----------------------------------------------
บทสรุป
การฝึกอบรมไม่ใช่แค่การ “สอนให้ทำงานได้” แต่คือการ “สอนให้เติบโต” องค์กรที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ล้วนมองว่าการพัฒนาคนคือการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าที่สุด

On-the-Job Training จะช่วยสร้างทักษะที่จับต้องได้รวดเร็วและตรงกับงานจริง ส่วน Off-the-Job Training จะช่วยเปิดมุมมองใหม่และปลูกฝังแนวคิดเชิงกลยุทธ์ เมื่อทั้งสองแบบถูกนำมาผสมอย่างเหมาะสม ก็จะสร้างระบบการเรียนรู้ในองค์กร (Learning Organization) ที่เข้มแข็งและยั่งยืน

สุดท้ายแล้ว “แบบไหนดีกว่า” อาจไม่สำคัญเท่า “องค์กรของคุณพร้อมแค่ไหนในการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง” เพราะในโลกที่เปลี่ยนเร็ว การฝึกอบรมไม่ใช่เพียงกิจกรรมรายปี แต่คือกระบวนการที่ต้องเกิดขึ้นตลอดเวลา — เพื่อให้ทั้งคนและองค์กรเติบโตไปด้วยกัน