จะสิ้นปีแล้ว แจ้งลดหย่อนภาษีกับ HR ทำยังไง และมีวิธีอะไรบ้าง?

Blog Image
  • Admin
  • 27 OCTOBER 2025

จะสิ้นปีแล้ว แจ้งลดหย่อนภาษีกับ HR ทำยังไง และมีวิธีอะไรบ้าง?

ช่วงปลายปีแบบนี้ พนักงานออฟฟิศหลายคนคงเริ่มได้ยินคำว่า “แจ้งสิทธิลดหย่อนภาษี” จากฝ่าย HR หรือจากเพื่อนร่วมงานกันบ้างแล้วใช่ไหม? แต่ก็มีไม่น้อยที่ยังสงสัยว่า... ต้องแจ้งยังไง? ใช้เอกสารอะไรบ้าง? แล้วถ้าไม่แจ้งจะเกิดอะไรขึ้น?

ริง ๆ แล้ว “การแจ้งสิทธิลดหย่อนภาษีกับ HR” เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันช่วยให้เราจ่ายภาษีน้อยลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และยังทำให้ระบบเงินเดือนของเราถูกต้องตั้งแต่ต้น ไม่ต้องไปนั่งขอคืนภาษีตอนปลายปีให้ยุ่งอีกต่อไป

บทความนี้ จะพาทุกคนมารู้จักขั้นตอนการแจ้งสิทธิลดหย่อนภาษีกับ HR แบบละเอียด เข้าใจง่าย เหมาะกับทุกคนที่อยากวางแผนภาษีให้ฉลาดขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ 💼✨

ทำไม “การแจ้งลดหย่อนภาษี” ถึงสำคัญ?
หลายคนอาจคิดว่าภาษีคือเรื่องของกรมสรรพากรเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ทุกเดือนเราจ่ายภาษีผ่านบริษัท โดยที่ HR จะเป็นคนคำนวณภาษี “หัก ณ ที่จ่าย” จากเงินเดือนเราให้ตามกฎหมาย

แต่ถ้าเรา “ไม่แจ้งสิทธิลดหย่อนภาษี” กับ HR
ระบบจะถือว่าเราไม่มีสิทธิลดหย่อนใด ๆ และจะหักภาษีเต็มจำนวน ซึ่งทำให้เราจ่ายภาษีเกินจำเป็น 😅

ในทางกลับกัน ถ้าเรารวบรวมสิทธิลดหย่อนต่าง ๆ มาบอก HR ตั้งแต่ต้นปี (หรือภายในเวลาที่กำหนดก่อนสิ้นปี) ระบบจะคำนวณภาษีจาก “รายได้หลังหักลดหย่อน” ทำให้เราจ่ายภาษีน้อยลง หรือบางกรณีอาจได้ภาษีคืนเพิ่มตอนยื่นปลายปีก็ได้
สรุปง่าย ๆ:
การแจ้งลดหย่อนภาษี = จ่ายภาษีถูกต้อง + เงินเดือนเหลือเยอะขึ้น + ไม่ต้องปวดหัวตอนยื่นภาษีปีหน้า

การแจ้งลดหย่อนภาษีกับ HR คืออะไร?
คือการที่พนักงานรวบรวมข้อมูลและเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับสิทธิลดหย่อนภาษี เช่น คู่สมรส บุตร ประกันชีวิต กองทุน RMF/SSF หรือเงินบริจาค แล้วนำไปแจ้งกับฝ่าย HR เพื่อให้ HR บันทึกข้อมูลเข้าระบบเงินเดือน ใช้ประกอบการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายรายเดือนของเราให้ถูกต้อง

ขั้นตอนนี้มักจะเกิดขึ้น “ช่วงต้นปี” หรือ “ก่อนสิ้นปีภาษี” ของแต่ละบริษัท ซึ่ง HR จะประกาศแจ้งช่วงเวลาอย่างชัดเจน เพื่อให้พนักงานทุกคนจัดเตรียมเอกสารได้ทันเวลา

✅ ขั้นตอนแจ้งลดหย่อนภาษีกับ HR (ทำง่ายใน 5 ขั้นตอน)
1. รวบรวมข้อมูลสิทธิลดหย่อนภาษีทั้งหมด
เริ่มจากการเช็กว่าปีนี้เรามีสิทธิลดหย่อนอะไรบ้าง โดยสิทธิลดหย่อนแบ่งออกเป็น 4 หมวดหลัก ๆ ได้แก่
- ค่าลดหย่อนพื้นฐาน เช่น ลดหย่อนส่วนตัว คู่สมรส บุตร
- ค่าลดหย่อนจากประกันชีวิต / ประกันสุขภาพ
- ค่าลดหย่อนจากการออมและการลงทุน เช่น PVD, RMF, SSF
- ค่าลดหย่อนเพื่อสังคม เช่น เงินบริจาค
👉 เคล็ดลับ:
จดรายการสิทธิที่มีไว้ก่อน แล้วไล่เก็บเอกสารตามรายการ จะช่วยให้ไม่พลาดสิทธิสำคัญ
2. กรอกแบบฟอร์มแจ้งสิทธิลดหย่อนภาษีของบริษัท
โดยทั่วไป HR จะส่งแบบฟอร์มให้กรอกในช่วงต้นปี หรืออาจให้กรอกผ่านระบบออนไลน์ของบริษัท (เช่น e-HR หรือโปรแกรมบุคคลออนไลน์)
แบบฟอร์มจะมีช่องให้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น
- ชื่อ–นามสกุล
- รายละเอียดคู่สมรส / บุตร
- รายการสิทธิลดหย่อนต่าง ๆ
- รายละเอียดการออม กองทุน หรือประกันที่ซื้อ
🧩 แบบฟอร์มที่เกี่ยวข้อง
- แบบ ภ.ง.ด.1 (สำหรับการหักภาษี ณ ที่จ่ายรายเดือน)
- แบบฟอร์มลดหย่อนภาษีภายในของบริษัท
3. เตรียมเอกสารหลักฐานประกอบ
นี่คือส่วนสำคัญที่หลายคนมักลืม — เอกสารหลักฐาน!
เพราะถ้าไม่มีหลักฐานแนบ HR จะไม่สามารถบันทึกสิทธินั้นให้ได้
เอกสารที่ควรเตรียม เช่น:
- สำเนาบัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน
- ทะเบียนสมรส (กรณีมีคู่สมรส)
- สูติบัตรบุตร / หนังสือรับรองการศึกษา (กรณีบุตรเรียนต่อ)
- หนังสือรับรองเบี้ยประกันชีวิต / ประกันสุขภาพ
- หนังสือรับรองการจ่ายเงินเข้ากองทุน (PVD, กบข., RMF, SSF, กอช.)
- ใบเสร็จรับเงินบริจาค หรือหนังสือรับรองการบริจาค
4. ตรวจสอบความครบถ้วน และส่งให้ HR ภายในกำหนด
หลังจากกรอกแบบฟอร์มและแนบเอกสารครบถ้วนแล้ว อย่าลืมตรวจสอบก่อนส่งทุกครั้ง เช่น
- ข้อมูลถูกต้องหรือไม่?
- เอกสารแนบครบทุกหน้าไหม?
- เซ็นชื่อรับรองหรือยัง?
จากนั้นนำส่ง HR ภายในเวลาที่บริษัทกำหนด (ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ของทุกปี) เพื่อให้ HR มีเวลาบันทึกข้อมูลและปรับการคำนวณภาษีในระบบเงินเดือนทันรอบ
5. ตรวจสอบผลกับ HR หรือเช็กจากสลิปเงินเดือน
หลังส่งเอกสารแล้ว แนะนำให้ตรวจสอบผลการลดหย่อนด้วย เช่น
- ภาษีหัก ณ ที่จ่ายในสลิปเดือนถัดไปลดลงหรือยัง?
- ข้อมูลคู่สมรสและบุตรถูกต้องไหม?
- สิทธิประกัน / RMF / SSF ถูกบันทึกครบหรือเปล่า?
ถ้ามีข้อผิดพลาด ให้รีบแจ้ง HR ทันทีเพื่อแก้ไขก่อนสิ้นปี เพราะถ้ารอจนยื่นภาษีจริงตอนมีนาคมปีหน้า จะยุ่งยากกว่ามาก

🪙 ตัวอย่างรายการลดหย่อนภาษีที่ควรแจ้งกับ HR
1. ค่าลดหย่อนพื้นฐาน
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส (ไม่มีรายได้) 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตร บุตรคนละ 30,000 บาท (บุตรเกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป)
2. ค่าลดหย่อนจากประกัน
- เบี้ยประกันชีวิตตนเอง (สูงสุด 100,000 บาท)
- เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง (สูงสุด 25,000 บาท)
- เบี้ยประกันสุขภาพบิดา–มารดา (สูงสุด 15,000 บาท)
3. ค่าลดหย่อนจากการออมและการลงทุน
- เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
- เงินสะสมเข้ากบข. หรือ กอช.
- เงินลงทุน RMF / SSF (ตามเงื่อนไขกรมสรรพากร)
4. ค่าลดหย่อนเพื่อสังคม
- เงินบริจาคทั่วไป (หักได้ไม่เกิน 10% ของรายได้สุทธิ)
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา กีฬา หรือโรงพยาบาลรัฐ (หักได้ 2 เท่า)
- เงินบริจาคพรรคการเมือง (สูงสุด 10,000 บาท)

แจ้งลดหย่อนภาษีช่วงไหนดี?
โดยทั่วไป HR จะเปิดให้แจ้งสิทธิลดหย่อนภาษี “ช่วงต้นปี” หรือ “ก่อนสิ้นปี”
บางบริษัทให้กรอกผ่านระบบ HR Online ได้ตลอด แต่จะอัปเดตผลทุกต้นปีใหม่

ถ้าอยากให้ภาษีถูกหักถูกตั้งแต่เดือนแรก ควรแจ้ง ตั้งแต่เดือนมกราคม ของปีภาษีนั้นเลย
จะได้ไม่ต้องมานั่งขอคืนภาษีตอนยื่นปลายปี

ถ้าไม่แจ้งลดหย่อนภาษีกับ HR จะเกิดอะไรขึ้น?
1. ภาษีถูกหักเกินทุกเดือน
2. เงินเดือนสุทธิลดลงโดยไม่จำเป็น
3. ต้องไปขอคืนภาษีเองตอนยื่นภาษีปลายปี (ยุ่งยากและใช้เวลา)
4. เสี่ยงกรอกข้อมูลผิดพลาดตอนยื่นภาษีเอง
ดังนั้น การแจ้งลดหย่อนภาษีกับ HR ตั้งแต่ต้นปีคือทางเลือกที่ฉลาดและสบายกว่าเยอะ!

สรุป: แจ้งสิทธิลดหย่อนภาษีกับ HR = เคล็ดลับเพิ่มเงินเดือนโดยไม่ต้องขอขึ้นเงิน!
การแจ้งสิทธิลดหย่อนภาษีกับ HR ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเลย แค่
1. รวบรวมเอกสารให้ครบ
2. กรอกแบบฟอร์มบริษัท
3. ส่งให้ HR ภายในกำหนด
4. ตรวจสอบผลในสลิปเงินเดือน
เท่านี้ก็ช่วยให้คุณจ่ายภาษีน้อยลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
มีเงินเดือนเหลือเก็บมากขึ้น และยังถือเป็นการวางแผนการเงินที่ฉลาดที่สุดก่อนสิ้นปีอีกด้วย